วัคซีนไฟเซอร์ทำให้เกิดความผิดปกติของหัวใจมากกว่าที่อ้าง
วัคซีนไฟเซอร์ทำให้เกิดความผิดปกติของหัวใจมากกว่าที่อ้าง
เป็นที่ยอมรับกันโดยไม่มีข้อสงสัยแล้ว ว่า วัคซีนไฟเซอร์ ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ในเด็กๆได้ มีงานวิจัยที่พบว่าสไปก์โปรตีนที่วัคซีนกระตุ้นให้ร่างกายสร้างนั้นคือสาเหตุ และมีงานวิจัยที่ยืนยันว่าสามารถพบmRNAวัคซีน ในกระแสเลือดหลังจากได้รับวัคซีนมาแล้วถึงสิบห้าวัน[1] ที่สำคัญมีเด็กที่เสียชีวิตหลังจากได้รับวัคซีน เด็กที่ก่อนหน้านี้แข็งแรงดีไม่มีโรคประจำตัวใดๆ[2] เด็กเป็นกลุ่มประชากรที่โอกาศเสียชีวิตจากโควิดน้อยมาก แถมวัคซีนที่นำมาฉีดนั้นก็ไม่สามารถกันการติดเชื้อ ไม่สามารถกันการแพร่เชื้อได้ การฉีดวัคซีนในเด็กเพื่อป้องกันปู่ย่าตายายจึงมิใช่เหตุผลที่มีน้ำหนักแต่อย่างใด เพราะแม้แต่รัฐมนตรีที่ฉีดวัคซีนไปแล้วหกเข็มยังติดโควิดและสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้
อย่างไรก็ดีมีความพยายามที่จะบอกว่ากล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากวัคซีนนั้นพบได้น้อย และไม่เป็นอันตราย ทั้งที่ข้อมูลงานวิจัยในต่างประเทศพบว่า อัตราการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเพิ่มมากขึ้น 133 เท่าหลังจากได้รับวัคซีน[3], [4] ตอนนี้มีงานวิจัยของประเทศไทย[5], [6] ทำการศึกษาแบบติดตามดูอาการไปข้างหน้า(prospective study) ในเด็กไทยอายุระหว่าง 13-18 ปี ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่สอง โดยตามดูค่า cardiac enzymes คลื่นหัวใจ echocardiogram cardiac MRI ของเด็กในวันที่ 3 7 และ 14 หลังจากได้รับวัคซีน ผลการวิจัย พบว่าอัตราการเกิดปัญหาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมาก โดยพบว่า
มีเด็กที่มีผลกระทบของระบบหัวใจและหลอดเลือดสูงถึง 29.24%
มีเด็กที่พบคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติสูงถึง 27.94%
มีเด็กที่ตรวจพบความผิดปกติของค่าเอนไซม์หัวใจ หรือการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงของหัวใจผิดปกติ 7 ราย หรือ 2.3%
มีเด็กที่มีค่า cardiac enzymes ผิดปกติ 5 รายหรือคิดเป็น 1.6%
มีเด็กที่มีผลการตรวจ echocardiogram ผิดปกติ พบมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ 3 ราย หรือ 1%
มีเด็กที่มีภาวะหัวใจอักเสบจนต้องเข้า โรงพยาบาล 2 รายหรือ 0.6%
มีเด็กที่มีภาวะหัวใจอักเสบจนต้องเข้าต้องเข้า ICU 1 ราย หรือ 0.3%
ทั้งหมดเป็นการติดตามดูในเด็กที่แข็งแรงดีเพียงแค่ 301 ราย เด็กกลุ่มนี้หากติดเชื้อโควิดก็จะไม่มีอาการอะไร หรืออย่างมากมีไข้สองสามวันก็หายและในปัจจุบันมียามากมายที่สามารถใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อัตราเสียชีวิตจากโควิดของเด็กกลุ่มนี้ตามข้อมูลของกรมควบคุมโรคอยู่ที่ 16 ในล้านราย[7] และส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตมีปัญหาสุขภาพเดิมอยู่ด้วย มิใช่เด็กแข็งแรงเหมือนในการวิจัยนี้
หากจะคิดอัตราที่พบความผิดปกติของหัวใจหลังได้รับวัคซีนไฟเซอร์ โดยอ้างอิงข้อมูลจากการวิจัยนี้จะพบว่ามีอัตราสูงถึง 23,256 รายต่อล้าน หรือหากนับแค่อัตราป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากวัคซีน จะสูงถึง 6,645 รายต่อล้าน ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่ง หรือ 3,322 รายต่อล้านที่ต้องเข้า ICU
การอนุญาตให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็ก เป็นการอนุญาตผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันสำหรับมนุษย์แบบมีเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดใหญ่ของโรค (Conditional Approval for Emergency Use of Medicinal Products)[8] โดยตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้กำหนดเงื่อนไขในข้อ ๓ (4) (5) (6) ไว้ดังนี้
(4) ผลการประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ยา (Risk-benefit analysis) อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยพิจารณาจากหลักฐานทางเชิงประจักษ์ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งประเมินแล้วว่าประโยชน์ที่ทราบและเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์ยามากกว่าความเสี่ยงที่ทราบและที่เป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์ยา
การประเมิน Risk-Benefit เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องประเมินตลอดเวลา เมื่อมีข้อมูลใหม่ต้องทำการประเมินใหม่ ผลกระทบจากโควิดในเด็ก
การประเมิน risk/benefit ต้องเทียบความเสี่ยงในการไม่ได้รับวัคซีนสำหรับเด็กกลุ่มนี้ คือ มีโอกาสเสียชีวิตจากโควิด 1 ใน 62,500 ราย โดยเด็กเหล่านั้นเป็นเด็กที่มีโรคประจำตัวอื่นๆร่วมด้วย
ในขณะที่ ถ้าฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เด็กกลุ่มนี้จะมีโอกาสเป็นกล้ามเนื้อหัวใจ/เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ 1 ใน 43 ราย กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบสามารถทำให้เสียชีวิตได้ ที่สำคัญจากข้อมูลของบริษัทยาเอง วัคซีนไฟเซอร์ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ไม่สามารถป้องการการป่วยหนักได้ ไม่สามารถป้องกันการเสียชีวิตได้[9]
จากข้อมูลจากการวิจัยดังกล่าวจะเห็นชัดเจนว่า ประโยชน์ที่ได้จากการให้เด็กฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้เป็นการพิจารณาแค่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดเท่านั้น หากนับรวมถึงผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ ระบบเลือด ผลกระทบต่อสารพันธุกรรมตลอดจนความเสี่ยงที่ทำให้เป็นมะเร็งในระยะยาวด้วยแล้ว[10] เงื่อนไขในการอนุญาตของวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กจึงไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
(5) เป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ยากับบุคคลเป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคนั้น
เด็กมิใช่บุคคลเป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคโควิด-๑๙ จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคเองระบุว่าอัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อโควิด-๑๙ ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 10 ปี อยู่ที่เพียง 12 รายต่อประชากรล้านคน และ ในกลุ่มอายุ 10-19 ปี มีอัตราการเสียชีวิตเพียง16 รายต่อประขากรล้านคน เด็กส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตเป็นเด็กที่มีโรคอื่นร่วมด้วย การติดเชื้อโควิด-๑๙ จึงมิได้เป็นปัจจัยหลักให้เสียชีวิต นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังมีคำแนะนำที่ระบุชัดเจนถึงประชากรกลุ่มเสี่ยง 608[11] ซึ่งมิได้นับรวมเด็กเข้าอยู่ในประขากรกลุ่มนี้ เด็กจึงมิใช่บุคคลเป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรค เงื่อนไขในข้อนี้จึงมิได้เป็นไปตามที่ประกาศ
(6) ไม่มีผลิตภัณฑ์ยาในการรักษาที่ได้รับอนุมัติ หรือผลิตภัณฑ์ยาในการรักษาที่ได้รับอนุมัติไม่ตอบสนองเพียงพอต่อการรักษาได้ในสถานการณ์ฉุกเฉินมีการระบาดใหญ่ของโรค
ปัจจุบันมียามากมายหลายชนิดที่สามารถใช้ในการรักษาโรคโควิด๑๙ ได้[12] วัคซีนจึงมิใช่ทางเลือกเดียวที่มี และมีงานวิจัยที่ยืนยันว่า ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า และคงอยู่นานกว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากวัคซีน ปัจจุบันพบว่าคนไทยจำนวนมากติดเชื้อโดยไม่มีอาการจำเป็นต้องตรวจหาภูมิคุ้มกันถึงรู้ว่าติดเชื้อมาแล้ว[13] ภูมิคุ้มกันเหล่านั้นเป็นภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ป้องกันการแพร่เชื้อได้[14] การใช้วัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในเด็กปกติจึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ใจดีที่มีความห่วงใยในสวัสดิภาพของเด็กไทย ขอให้ช่วยกันเรียกร้องให้รัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการทบทวน การอนุมัติฉุกเฉินของวัคซีนไฟเซอร์ ทุกๆเสียงของพวกท่านจะเป็นการปกป้องเด็กไทยให้ปลอดภัยจากวัคซีนที่ยังอยู่ระหว่างการทดลองนี้ วัคซีนที่มิได้ช่วยป้องกันการติดเชื้อ วัคซีนที่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการขึ้นทะเบียนยาตามปกติ วัคซีนที่บริษัทผู้ผลิตไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆที่เกิดขึ้นจากการได้รับวัคซีน[15] มาช่วยกันนะครับ ช่วยกันแชร์ ช่วยกันบอกต่อ บอกให้พ่อแม่ครูผู้ปกครองทุกคนรับรู้ข้อมูลนี้ ทำให้เสียงของพวกท่านดังกังวานไปไกลจนไปเข้าหูผู้มีอำนาจในรัฐบาล หวังว่าข้อมูลนี้จะทำให้เกิดการทบทวนการอนุมัติฉุกเฉินวัคซีนในกลุ่ม mRNA ในเด็ก ๆ
[1] https://www.mdpi.com/2227-9059/10/7/1538
[2] ระบบรับคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีน Covid-19 (nhso.go.th)
[3] https://www.israelnationalnews.com/news/321238
[4] https://jamanetwork.com/journals/jama/fullarticle/2788346
[5] https://www.preprints.org/manuscript/202208.0151/v1
[7] https://ddc.moph.go.th/covid19-dashboard/?dashboard=death-statistics
[8] 152. การอนุญาตผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันสำหรับมนุษย์แบบมีเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดใหญ่ของโรค (Conditional Approval for Emergency Use of Medicinal Products) – กองยา (moph.go.th)
[9] https://cmhealthlibertyrights.blogspot.com/2022/03/5-11.html
[11] https://multimedia.anamai.moph.go.th/anamai-toons/covid-vaccine-4/
https://c19early.com/
[13] https://www.amarintv.com/news/detail/126791
[14] https://cmhealthlibertyrights.blogspot.com/2022/04/blog-post_79.html
[15] https://cmhealthlibertyrights.blogspot.com/2022/04/eua.html