ไวรัสโควิด (ซาร์สคอฟ ทู, SARS-CoV 2) เกิดจากฝีมือมนุษย์ไหม? อ่านให้จบจะได้คำตอบ
ต้นกำเนิดของเชื้อไวรัสโควิด ซารส์โควีทู (SARS CoV2)
ไวรัสโควิด (ซาร์สคอฟ ทู, SARS-CoV 2) เกิดจากฝีมือมนุษย์ไหม? อ่านให้จบจะได้คำตอบ
ต้นกำเนิดของเชื้อไวรัสโควิด ซารส์โควีทู (SARS CoV2)
ในขณะที่ทั่วโลกกำลังวุ่นวายกับการจัดการปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด๑๙ เริ่มมีคำถามว่า เชื้อไวรัสตัวนี้ เป็นไวรัสที่มนุษย์สร้างขึ้นหรือไม่? โดยในช่วงแรกของการแพร่ระบาดมีข่าวว่า ทีมนักวิจัยชาวอินเดียศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมของไวรัสนี้แล้วสรุปว่า ไวรัสตัวนี้โอกาสที่ไวรัสนี้มีกำเนิดมาจากธรรมชาติเป็นไปได้น้อยมาก ๆ แต่มีนักวิทยาศาสตร์ ที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้รีบออกมาให้ข่าวว่า เรื่องนี้เป็นข่าวหลอก และทำให้ข่าวนี้เงียบไป แต่หลังจากนั้นเริ่มมีข่าวว่า รัฐบาลหลายประเทศเริ่มมีการสอบสวนหาที่มาของไวรัสตัวนี้ พร้อมการกล่าวหาอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ การหาคำตอบว่า ไวรัสนี้เป็นฝีมือมนุษย์หรือไม่ จึงมีความสำคัญมาก เพราะเป็นการบอกความแตกต่างระหว่าง การแพร่ระบาดของโรคกับ “สงครามชีวภาพ” สงครามระหว่างชาติมหาอำนาจ ซึ่งเหมือนสงครามเต็มรูปแบบ ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศเล็กประเทศน้อยอื่น ๆรวมทั้งประเทศไทยด้วย กระบวนการแก้ปัญหาบนสมมุติฐานว่าเป็นการแพร่ระบาดของโรคตามธรรมชาติ จึงแตกต่างจากการแก้ปัญหาจากสงครามชีวภาพ โดยการแก้ปัญหาด้านสาธารณสุขเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาสงครามชีวภาพ แต่จำต้องแก้ปัญหาด้านอื่นโดยยึดหลักยุทธศาสตร์ความมั่นคงในด้านต่าง ๆ ทั้งเสถียรภาพทางการเมือง ความมั่นคงทางทหาร ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางพลังงาน ฯลฯ เข้ามาบูรณาการการแก้ปัญหาด้วย
ใครบ้างที่บอกว่าไวรัสตัวนี้เป็นฝีมือมนุษย์ ใครพยายามปฏิเสธ
ก่อนที่จะอธิบายหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เหตุผลที่ฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายค้านยกขึ้นมาสนับสนุนความคิดของฝ่ายตน ขออนุญาต พูดถึงแกนนำ คนสำคัญของฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้านก่อน
ฝ่ายสนับสนุนที่ บอกว่า ไวรัสตัวนี้เกิดจากฝีมือมนุษย์ คนสำคัญคือ ศาสตราจารย์ ลุค มองแตเยอร์ (Prof. Luc Montagneir) ท่านเป็นนักไวรัสวิทยา และที่สำคัญท่านเป็นผู้ที่ค้นพบไวรัส HIV (ซึ่งเป็น RNA virus เหมือนโคโรนาไวรัส) และจากผลงานที่ท่านค้นพบเชื้อเอชไอวี ทำให้ท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์เมื่อปี 2551[1] ศาสตราจารย์ลุค ออกมาให้สัมภาษณ์กับ สื่อฝรั่งเศส ว่า ไวรัสตัวนี้ ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ เป็นฝีมือมนุษย์[2] เป็นการสัมภาษณ์ออกสื่อที่ตอบคำถามอย่างละเอียดถึงประเด็นนี้ ประเด็นสำคัญคือ ท่านบอกว่า ไวรัสนี้มีลักษณะทางพันธุกรรมบางส่วนที่เหมือนกับเชื้อไวรัสเอช ไอ วี อย่างที่เป็นไปไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ฝ่ายค้านหลักที่ออกมาค้าน และไม่ได้เป็นนักวิจัยจากศูนย์วิจัยไวรัสในอู่ฮั่น (ซึ่งน่าจะเป็นแลปที่ดัดแปลงพันธุกรรมของไวรัส) คือ ศาสตราจารย์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Prof. Kristian G. Andersen)[3] จากศูนย์วิจัยสคริปปส์ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยอ้างงานวิจัยของตนเองในการคัดค้านความคิดว่าไวรัสโควิดเกิดจากฝีมือมนุษย์ งานวิจัยของเขาถูกสำนักข่าวมากมายนำมาอ้าง แต่ล้วนมาจากต้นตอเดียวกัน
นอกจากผู้ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ดังกล่าวแล้ว อึกคนสำคัญที่ต้องกล่าวถึงคือ ทีมนักวิจัยจากอินเดีย นำทีมโดย ศาสตราจารย์ พิศวาจิต คุนดู (Prof. Bishwajit Kundu)[4] ซึ่งเป็นศาตราจารย์ด้านชีววิทยา ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย ทีมนักวิจัยนี้เป็นทีมที่ค้นพบว่า ลักษณะพันธุกรรมบางประการที่เหมือนกับไวรัสเอชไอวีอย่างน่าแปลกใจ และเป็นงานวิจัยที่ ศาสตราจารย์ลุคกล่าวอ้างถึง
งานวิจัยที่สนับสนุนว่ามีการตัดต่อพันธุกรรมไวรัสโควิด
งานวิจัยชิ้นสำคัญคืองานวิจัยที่ศึกษาโปรตีนที่สำคัญของไวรัสของทีมจากอินเดียที่นำโดยศาสตราจารย์ พิศวาจิต คุนดู[5] ก่อนจะเล่าว่าเขาเจออะไร ต้องขออธิบายก่อนว่า โปรตีนของไวรัสที่พูดถึงนี้ เป็นเสมือนกับกุญแจไว้ไขเข้าไปในเซลล์ที่ไวรัสจะติด โดยรูปทรงของมันจะมีผลทำให้มันจับกับตัวรับที่อยู่บนผิวเซลล์ได้ ถ้าจับกับตัวรับบนผิวเซลล์ไหนได้ดี ไวรัสก็จะเข้าเซลล์นั้นได้
เอาละครับกลับมาถึงงานวิจัยที่เขาทำ เขาเริ่มจากการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมทั้งหมดของไวรัสโควิด ซึ่งมีความยาวประมาณ 30000 กว่าคู่เบส แล้วนำไปเทียบกับรหัสพันธุกรรมของโคโรนาไวรัสตัวอื่น ๆ เขาพบว่า ไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมเหมือนกันมากที่สุด คือ เจ้าไวรัส SARS CoV (1) ที่ทำให้เกิดโรคซาร์ส และเพราะเหตุนี้ เจ้าไวรัสโควิดจึงมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า SARS CoV 2 หลังจากวิเคราะห์พันธุกรรมทั้งหมดแล้วเขาเจาะลึกลงดูเจ้าโปรตีน S หรือ กุญแจเข้าเซลล์ของไวรัสว่า มีส่วนเหมือนหรือคล้ายกันกับของไวรัสตัวอื่นๆไหม สิ่งที่เขาพบทำให้เขาแปลกใจ โปรตีนของเจ้าโควิดนี้ มีส่วนที่เหมือนกับของไวรัส เอชไอวี อยู่ถึง 4 ส่วน โดยแต่ละส่วนมีโมเลกุลของกรดอะมิโน 8, 7, 6 และ 6 โมเลกุล ที่สำคัญเขาไม่พบว่ามีโคโรนาไวรัสตัวอื่นเลยที่มีส่วนที่งอกมานี้ รวมทั้งเจ้าไวรัส SARS CoV 1 ที่ทำให้เกิดโรคซาร์ส ด้วย
หลายท่านอาจจะตั้งคำถามว่าแล้วทำไม เหมือนกันไม่ได้หรือ คำตอบ คือ เป็นไปได้ยากมากครับ เพราะ ในธรรมชาติมีกรดอะมิโนอยู่ 20 ชนิด การที่กรดอะมิโนในแต่ละตำแหน่งจะเหมือนกันติดต่อกัน 8 ตำแหน่งนั้นมีความน่าจะเป็นน้อยมาก ผมลองเทียบให้เห็นภาพกับ รหัสเอทีเอ็มหกตำแหน่ง แต่ละตำแหน่งเป็นเลข ได้ตั้งแต่ 0 ถึง 9 ดังนั้นรหัส 102456 จึงเป็นรหัสที่เป็นไปได้แค่ 1 ใน 10x10x10x10x10x10 หรือ 106 ซึ่งคือ 1 ในล้าน อันนี้แต่ละตำแหน่งมีความเป็นไปได้แค่ 10 แบบ และแค่หก ตำแหน่งเท่านั้น ทีนี้ลองกลับไปคำนวณว่า ถ้าเป็น 8 ตำแหน่ง และแต่ละตำแหน่งมีความเป็นไปได้ 20 แบบ ตัวเลขที่ออกมาคือ 1 ใน 208 ซึ่งเท่ากับ 1 ใน 25,600,000,000 อันนี้คือ แค่ส่วนเดียวนะครับ ถ้าคำนวณทั้ง 4 ส่วน ที่มีจำนวนกรดอะมิโน 8, 7, 6, 6 โมเลกุล จะพบว่าความน่าจะเป็นที่บังเอิญเหมือนกันทั้งหมดมีความเป็นไปได้ แค่ 1 ใน 1.34 x 1035 ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดเองตามธรรมชาติ หลายท่านอาจจะยังงงๆ ว่าทำไมสรุปเช่นนั้น เอาใหม่ สมมุติเรามีลูกเต๋า ที่มีหกหน้า แต่ละหน้า แทนที่จะเป็นตัวเลข เป็นตัวอักษร ตั้งแต่ a ถึง f สมมุติเราจะพยายามโยนลูกเต๋าให้ ออกมาเป็นคำว่า decafe โดยโยนครั้งที่หนึ่ง เป็นอักษรตัวแรก ครั้งที่สองเป็นอักษรตัวที่สอง ทำไปเรื่อย ๆจนครบหกตำแหน่ง เพื่อให้ได้คำว่า decafe ที่ต้องการ เดาได้ไหมครับว่าเราจะต้องโยนลูกเต๋ากี่ครั้ง คำตอบคือ 6 ยกกำลังหก (ลูกเต๋ามี 6 หน้า โยนหกครั้ง) ซึ่งเท่ากับ 1 ใน 46,656 ครั้ง ทีนี้ลองเปลี่ยนว่า แทนที่ลูกเต๋าจะมีแค่หกหน้า แต่เพิ่มเป็น 20 หน้า และแทนที่จะโยนหกครั้ง เพิ่มเป็น 8 ครั้ง ตัวเลขที่ได้ จะเป็น 1 ใน 20 ยกกำลัง 8 ซึ่งเท่ากับ 25,600,000,000 และนั่นแค่ ส่วนเดียว และถ้าดูทั้ง 4 ส่วนตามที่บอกข้างต้นความน่าจะเป็นจะเหลือเพียง 1 ใน 13,400,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000
ที่น่าสนใจคือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ มีผลทำให้โปรตีนของไวรัส (กุญแจเข้าเซลล์) สามารถจับกับตัวรับของเซลล์ที่ต่างไปด้วย โดยโปรตีนเดิมของเจ้า SARS CoV 1 นั้นจับกับตัวรับที่ชื่อว่า ACE2 ได้ดีและเจ้าไวรัสซาร์ส ก็ใช้ประตูนี้บุกเข้าไปทำลายเซลล์ที่มีตัวรับนี้ ปรากฏว่า ส่วนของเชื้อเอชไอวีที่งอกมาจากไหนไม่รู้ของเจ้า SARS CoV 2 นี้ ไปทำให้โปรตีนของไวรัสโควิดนี้ จับกับตัวรับที่ชื่อว่า Basigin (CD 147) ได้ดีมาก[6] และไวรัสโควิดใช้ช่องทางนี้ในการเจาะเข้าเซลล์ต่าง ๆ ซึ่งอธิบายอาการของโรคโควิดได้ดีกว่า
งานวิจัยที่พยายามบอกว่าไวรัสโควิดมาจากธรรมชาติ[7]
อย่างที่บอกไว้ตอนแรกครับ หัวหน้าทีมคนสำคัญของงานวิจัยนี้ คือ ศาสตราจารย์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน สื่อทุกสื่อที่ตีข่าวว่า ไวรัสนี้มาจากธรรมชาติไม่ได้มาจากฝีมือมนุษย์ ล้วนแล้วแต่อ้างงานวิจัยนี้ทั้งสิ้น เอาละครับงั้นมาดูว่างานวิจัยนี้เขาทำอะไร เขาวิเคราะห์โปรตีนส่วนสำคัญของไวรัส คือ เจ้าโปรตีน S ที่ทำหน้าที่เป็น กุญแจ เข้าเซลล์อย่างที่เล่าไว้ตอนต้นครับ เขาบอกว่า ถ้าเปรียบเทียบระหว่างไวรัส SARS CoV 2 (ไวรัสโควิด) กับไวรัส SARS CoV 1(ไวรัสซาร์ส) ซึ่งเป็นญาติสนิทกัน จะพบว่า โปรตีนอันนี้จะมีความแตกต่างกัน ความแตกต่างนี้ จะทำให้โปรตีนของเจ้าโควิดนี้ จับกับ ตัวรับ ACE2 ได้ไม่ดีเท่ากับ โปรตีน S ของ ไวรัสซาร์ส ดังนั้นต้องไม่ใช่ฝีมือมนุษย์แน่ๆ เขาพยายามให้เหตุผลว่า ถ้าหากเป็นฝีมือมนุษย์ คนทำน่าจะต้องทำให้โปรตีน S ของเจ้าไวรัสโควิด จับกับตัวรับ ACE2 ได้ดีขึ้น เพื่อจะเข้าเซลล์ได้ดีขึ้นและระบาดได้ง่ายขึ้น เอาละครับลองมาไล่ดูเป็นข้อๆว่า ที่เขาอ้างนั้นจริงไหม
1. เขาบอกว่า เพราะสิ่งที่เพิ่มมากทำให้โปรตีนไวรัสนี้ จับกับ ตัวรับ ACE2 ได้แย่ลงกว่าเดิม (ซึ่งจริง) แต่แปลว่า มันไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ไหม คำตอบคือ ไม่ใช่ เพราะเขาไม่ได้บอกว่า มนุษย์ทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่บอกว่าถ้ามนุษย์ทำ มนุษย์น่าจะทำให้กุญแจตัวนี้ไขเช้าเซลล์ได้ดีกว่าเดิม ประเด็นสำคัญคือ นั่นเป็นข้อสรุป ที่บอกได้แค่ “น่าจะ” ถ้ามนุษย์ทำ น่าจะทำแล้วดีกว่าเดิม พอพบว่าจับกับตัวรับได้ไม่ดีกว่าเดิม เขาเลยยกมาอ้างว่า น่าจะมาจากธรรมชาติ
2. ข้อสอง จริงไหมว่า จับกับตัวรับได้ยากว่าเดิม? อาจจะจริงสำหรับ การจับกับตัวรับ ACE2 แต่สงสัยไหมว่า ถ้ากุญแจแย่ลงทำไม ระบาดมากขึ้น ติดต่อง่ายขึ้น? สิ่งที่งานวิจัยนั้นไม่พูดถึงเลย คือ ที่จริงไวรัสโควิดจับกับตัวรับอีกตัวได้ดีมาก ๆ คือตัวรับที่ชื่อ CD147 (Basigin)[8] ตัวรับนี้ทำให้ไวรัสโควิดมีพฤติกรรมคล้ายเชื้อไวรัสเอชไอวี เพราะนอกจากจะเข้าเซลล์ปอดได้แล้วยังทำให้มันเข้าเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ เข้าเซลล์สมองได้ เข้าเซลล์ของไตได้ ที่สำคัญทำให้ ปริมาณเม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยโควิดตกลงอย่างมากจน ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ จนมีผลให้ผู้ป่วยโรคนี้หายช้า ประเด็นสำคัญคือ ข้ออ้างที่เขาอ้างตามข้อ 1 นั้นไม่จริง มันอาจจะจับกับตัวรับ ACE2 ได้แย่ลง แต่ มันจับกับตัวรับ Basigin ได้ดีขึ้น และเพราะเหตุนี้ทำให้ ไวรัสโควิดแพร่ระบาดมากกว่าไวรัสซาร์สญาติของมันมาก และถ้าสมมุติฐานที่เขาใช้นั้นถูก คือ “ถ้าเป็นฝีมือมนุษย์ทำ ไวรัสน่าจะต้องจับกับตัวรับได้ดีขึ้น” แปลว่า การที่ไวรัสโควิดจับกับตัวรับ basigin ได้ โดยที่ไม่มีไวรัสโคโรนาอื่นใดทำได้ ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่ามันน่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์
3. ข้อสาม ในงานวิจัยของศาสตราจารย์ คริสเตียน แอนเดอร์เซนที่อ้างมา บอกว่า โปรตีน เอส ของไวรัสโควิด เหมือนกับโคโรนาไวรัสของค้างคาวที่ชื่อ Bat-RaTG13 และสรุปว่า เชื้อโควิดต้องมาจากค้างคาว “ตามธรรมชาติ” เท่านั้น ไม่สามารถเกิดจากการกระทำของมนุษย์ได้ ซึ่ง “ไม่จริง” เพราะที่ต้องสนใจ คือ ส่วนที่ “ไม่เหมือน” เพราะจากงานวิจัยของแอนเดอร์เซน เองที่บอกว่ามีอยู่ส่วนหนึ่งที่ “งอก”มาจากโคโรนาไวรัสอื่น ๆ ไม่พบในเชื้อโคโรนาอื่นๆเลยรวมทั้งเชื้อจากค้างคาวที่ชื่อ Bat-RaTG13 ด้วย แอนเดอร์เซน อ้างว่า ส่วนที่เพิ่มมานั้นไม่รู้ว่า มีผลทำให้ไวรัสเข้าเซลล์ได้ง่ายขึ้นหรือไม่ ทั้งที่จริงแล้วส่วนที่เพิ่มมานั้นคือ furin cleavage site ที่มีงานวิจัยรองรับว่ามีบทบาทสำคัญในการเชื่อมผนังของไวรัสเข้ากับผนังเซลล์ในกระบวนการที่ไวรัสจะเข้าเซลล์[9] การที่มี furin cleavage site เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลให้โปรตีนเอสของไวรัสโควิดสามารถแตกตัวและเชื่อมกับผนังเซลล์ของเซลล์ที่มันจะเข้าได้ดีขึ้น ทั้งนี้มีงานวิจัยรองรับว่า furin cleavage site ที่ว่านี้มีอยู่ในโปรตีน S ของไวรัสโควิด[10] ซึ่งแปลว่า แอนเดอร์เซน จงใจโกหก เพื่อปิดบังความจริง
4. ทีนี้มาดูเฉพาะแค่จุดที่ “งอกมา” อย่างเดียว ส่วนที่งอกมานั้น ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ เพราะเวลาเราพูดถึงการกลายพันธุ์นั้น เราจะดูที่ระดับรหัสพันธุกรรม ไม่ใช่ระดับโปรตีน ไอ้ PRRAR ที่อีตาคริสเตียนอ้างถึงในเปเปอร์ตัวเอง (ตามภาพ) นั้นเป็นระดับโปรตีนนะครับ ถ้าเป็นระดับรหัสพันธุกรรม กรดอะมิโนหนึ่งตัวจะแทนที่ด้วยรหัสพันธุกรรม 3 ตัว PRRAR นั้น P คือ โพรลีน (Proline) R คือ อาร์จินีน (Arginine) และ A คือ อลานีน (Alanine) รหัสพันธุกรรมของโพรลีน คือ CCU (หรือCCC, CCA, CCG) ของอาร์จินีน คือ CGU (หรือ CGC, CGA, CGG) ของอลานีน คือ GCU (หรือ GCC, GCA, GCG) ดังนั้นถ้าในระดับพันธุกรรมรหัสของ PRRAR คือ CCUCGUCGUGCUCGU 15 ตำแหน่ง ปัญหาคือ การกลายพันธุ์นั้นปกติจะเป็นการที่รหัสผิดไปหนึ่งตัว เช่น จาก CCUCGU เป็น CUUCGU การกลายพันธุ์แบบเพิ่มจำนวนที่เรียกว่า insertion นั้นก็เป็นได้แต่มักจะเป็นการเกินมาหนึ่งตำแหน่งเท่านั้น เช่น จาก AUUC เป็น ACUUC การแทรกมาหรือ ที่เรียกว่า insertion ทั้ง 15 ตำแหน่งนั้นเป็นไปได้ยากมาก ๆ แถม 15 ตำแหน่งที่แทรกมานั้นมีผลต่อการทำงานของโปรตีนด้วย ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย มีคำอธิบายเพียงอย่างเดียวคือ มีมนุษย์มือบอนจับมาใส่ โดยใช้กระบวนการตัดต่อพันธุกรรม
มีงานวิจัยอื่นๆในอดีต/และปัจจุบันที่ทำเรื่องการตัดต่อพันธุกรรมของไวรัสไหม
คำตอบคือ มี แม้แต่เชื้อไวรัสโควิดเองมีงานวิจัยที่ “สร้าง”ไวรัสโควิดขึ้นมาในแลปได้[11] นอกจากนี้ มีงานวิจัยมากมายที่ตัดต่อ รหัสพันธุกรรม เพื่อดูว่าไวรัสนั้น ติดต่อได้ง่ายขึ้นไหม งานวิจัยทำนองนี้เรียกว่า gain of function research ซึ่งมีมากมาย[12] งานวิจัยทำนองนี้ไม่จำเป็นในการที่จะได้คำตอบที่เกี่ยวกับเชื้อโรคและมีความเสี่ยงที่จะสร้างเชื้อโรคที่อันตราย[13] และความเสี่ยงที่ว่านั้นเป็นงานวิจัยที่อาจจะผิดหลักจริยธรรมการวิจัย[14],[15] ถึงกับมีผลให้ National Institute of Health ของสหรัฐอเมริกา ระงับการให้ทุนวิจัยโครงการทำนองนี้[16] คนที่ออกมาสนับสนุนให้มีการวิจัยเรื่องนี้ต่อ คือ Dr.Fauci [17] โดยผลักดันให้มีการทบทวนการให้ทุนวิจัยงานวิจัยทำนองนี้ใหม่ในปี 2017 โดยหน่วยงานที่ให้ทุนคือ National Institute of Allergy and Infectious diseases ที่ Dr.Fauci เป็นผู้อำนวยการ[18] จึงไม่แปลกเลยที่มีนักวิจัยที่ได้ทุนจากหน่วยงานนี้ พยายามออกมาบอกว่า ไวรัสโควิดนี้มาจากธรรมชาติ โดยไม่ตอบคำถามว่า ส่วนที่แทรกมา และต่างจากไวรัสโคโรนาตัวอื่นๆนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เอาแต่อ้างว่า มันมีบางส่วนเหมือนกับไวรัสตัวอื่นแปลว่า มันต้องมาจากธรรมชาติ การอ้างทำนองนี้ คล้ายกับการที่มีผู้กล่าวหาว่า กล้องวงจรปิดจับภาพผู้ร้ายในขณะที่กำลังทำความผิดได้ แต่แทนที่จะแก้ต่างว่า ไม่จริงนั่นไม่ใช่ภาพผู้ร้ายที่จับได้ กลับบอกว่ามีกล้องวงจรปิดที่จับภาพผู้ร้ายทำอย่างอื่นหลายภาพก่อนเกิดเหตุ แปลว่าขณะที่กำลังเกิดเหตุต้องไม่ใช่ผู้ร้ายคนนั้นทำ และการที่มีผู้ออกมาพยายามปกปิด โดยใช้ตรรกะเพี้ยนๆ แบบนี้ ทั้งที่ตนก็มีความเข้าใจในเรื่องพันธุกรรมดี แปลว่า ต้องมีเหตุที่ต้องปกปิดความจริง มีแต่ผู้กระทำความผิดกับผู้สมคบคิดเท่านั้นที่พยายามจะปกปิดความจริง
สรุป
จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งจากงานวิจัยของทีมนักวิจัยจากอินเดีย และงานวิจัยของศาสตราจารย์ลุค ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาซึ่งได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบไวรัสเอชไอวี และจากงานวิจัยของผู้ที่ออกมาค้านเองว่า ไวรัสนี้ไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์ ล้วนชี้ให้เห็นว่าไวรัสโควิดนี้ ไม่ได้เกิดมาจากธรรมชาติ และมีงานวิจัยในอดีตที่พิสูจน์ได้ว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถตัดต่อพันธุกรรมได้ เทคโนโลยีในการตัดต่อพันธุกรรมไวรัสมีอยู่จริง การแพร่ระบาดนี้จึงไม่ใช่การแพร่ระบาดทั่ว ๆไปจากโรคที่เกิดตามธรรมชาติ การแก้ปัญหาจึงไม่สามารถทำได้โดยไม่สนใจเรื่องอื่น ๆนอกจากปัญหาสาธารณสุข และการแก้ปัญหาสาธารณสุขเองจึงไม่สามารถรับฟังข้อมูลจากฝ่ายที่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการปกปิดความจริงได้ ผู้ที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาของประเทศจึงจำเป็นต้องแก้อยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง จึงจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ
[1] https://www.nobelprize.org/prizes/medicine/2008/montagnier/facts/
[3] https://www.scripps.edu/faculty/andersen/
[4] http://web.iitd.ac.in/~bkundu/
[5] https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2020.01.30.927871v1
[6] https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2020.03.14.988345v1
[7] https://www.nature.com/articles/s41591-020-0820-9
[8] https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2020.03.14.988345v1
[9] https://doi.org/10.1016/j.virol.2006.02.003
[10] https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0166354220300528
[11] https://www.nature.com/articles/s41586-020-2294-9
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/?term=%22gain+of+function%22+virus&sort=date
[13] https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK285579/
[14] https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4996883/
[15] https://www.frontiersin.org/articles/10.3389/fbioe.2018.00011/full
[16] https://www.nature.com/articles/d41586-017-08837-7
[17] https://mbio.asm.org/content/3/5/e00359-12.long
[18] https://www.nih.gov/about-nih/who-we-are/nih-director/statements/nih-lifts-funding-pause-gain-function-research