ผมเขียนเรื่องนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะมีวัคซีนฉีดกัน แต่ตอนนั้นขบวนการเซ็นเซอร์รุนแรงมาก ตอนนี้ความจริงเริ่มปรากฎ เลยเอามาโพสต์ใหม่
https://reason.com/video/2022/11/03/the-lab-leak-deception/
ต้นกำเนิดของเชื้อไวรัสโควิด ซารส์โควีทู (SARS CoV2)
ในขณะที่ข่าวเรื่องวัคซีนเป็นที่สนใจอย่างมากในประเทศไทย ใครจะได้ฉีดวัคซีน จะได้เมื่อไหร่ ยี่ห้ออะไร ในต่างประเทศมีข่าวๆหนึ่งที่สำคัญมากและควรค่าแก่ความสนใจ คือ ข่าวเรื่องต้นกำเนิดของเชื้อไวรัสโควิด หรือ ซารส์โควีทู (SARS-CoV2) ในช่วงต้นของการระบาดใหม่ๆ มีข่าวเล็กๆที่บอกว่านักวิจัยจากอินเดีย พบความผิดปกติในพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโควิดที่ยากจะอธิบายได้ว่าเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ข่าวนั้นออกมาได้ไม่นานก็เงียบไป ไม่นานนักไวรัสวิทยา ที่ได้รับรางวัลโนเบล จากผลงานในการค้นพบเชื้อไวรัสโรคเอดส์ ศาสตราจารย์ลุค มองติเยร์ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ในทางเดียวกันว่า ไวรัสโควิดเกิดจากฝีมือมนุษย์ และนักวิทยาศาสตร์จากไต้หวันก็ออกมาแฉว่าแลปที่อู่ฮั่นน่าจะเป็นต้นตอของเชื้อ ในช่วงนั้นรัฐบาลอเมริกันกล่าวหาว่า จีนเป็นผู้ที่ “สร้าง” ไวรัสตัวนี้ขึ้น ในขณะที่รัฐบาลจีนก็กล่าวหาว่า รัฐบาลอเมริกันนั่นแหละเป็นผู้ที่ทำ ประธานาธิบดีอเมริกันในขณะนั้น คือ ประธานาธิบดีนัลด์ ทรัมป์ ถึงกับสั่งให้มีการสืบหาต้นตอของเชื้อไวรัสนี้ แต่ข่าวนี้ก็มีการพูดถึงอยู่ไม่นาน โดยที่มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนึง นำโดย ดร.เฟาชี่ (Dr.Anthony Fauci) ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (National Institute of Allergy and Infectious Diseases, NIAID) ประเทศสหรัฐอเมริกา แม่ทัพหลักในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดในอเมริกา ออกมายืนยันว่า เชื้อไวรัสโควิดนี้ น่าจากการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ ไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ แล้วข่าวนี้ก็เงียบหายไปอีกครั้ง
ก่อนจะกลับมาเล่าต่อว่าขณะนี้ข้อมูลที่ออกมา ชี้ว่าเชื้อโควิดนั้นมีต้นกำเนิดจากที่ใด อยากให้ผู้อ่านลองคิดสักนิดว่า ที่มาของเชื้อนี้มีความสำคัญอย่างไร? การที่เชื้อมาจากฝีมือมนุษย์แปลว่า เชื้อนี้จัดเป็น “อาวุธชีวภาพ” ซึ่งแปลว่า ขณะนี้โลกอาจจะอยู่ใน “ภาวะสงครามชีวภาพ” สงครามที่มีจุดประสงค์ที่ต้องการทำลายเศรษฐกิจ ต้องการยึดครองทรัพยากร สงครามที่มีคนบางกลุ่ม “ได้ประโยชน์” การแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดจึงไม่สามารถกระทำได้ตามแนวทางการแก้ปัญหาโรคระบาดธรรมดา ที่สำคัญแนวทางการแก้ปัญหาที่ “ผู้ได้ประโยชน์” นำเสนออาจไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาที่แท้จริง
ครับกลับมาเรื่องต้นกำเนิดของเชื้อ เร็วนี้มีการแพร่ข่าวว่า ก่อนที่จะมีการระบาดในอู่ฮั่น นักวิจัยในห้องปฏิบัติการที่อู่ฮั่น สามรายป่วยด้วยโรคประหลาดที่มีอาการคล้ายโรคโควิด ทำให้น่าสงสัยว่าเชื้อนี้อาจจะหลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการในอู่ฮั่นเอง หลังจากข่าวนี้ออกมาไม่นานทางจีนก็ออกมาตอบโต้ว่า มีการตรวจพบเชื้อโควิดก่อนหน้านั้นในอเมริกาและในฝรั่งเศส ในขณะที่ประธานสภาดูมาของรัสเซียก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเชื้อไวรัสตัวนี้มีต้นกำเนิดในห้องปฏิบัติการในอเมริกา ซึ่งเป็นเหตุให้ ประธานาธิบดีไบเดน ต้องรีบออกมาแถลงให้มีการสอบสวนหาที่มาของเชื้อโควิดโดยขีดเส้นตายให้ได้คำตอบในเก้าสิบวัน ทั้งๆที่ไบเดนเอง เป็นคนสั่งให้ยุติการสอบสวนเรื่องเดียวกันนี้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มไว้ หลังจากที่ไบเดนเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน แต่สิ่งที่ทำให้ข่าวนี้เป็นที่สนใจคือ การที่วุฒิสมาชิกรอน พอล ได้ขอให้ ดร.เฟาชี่[1] มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ในสภาสูงของสหรัฐ รอน พอล ได้ถามถึงการที่ NIAID ได้ให้ทุนวิจัยเกี่ยวกับ การดัดแปลงพันธุกรรมของเชื้อไวรัสเพื่อทำให้เชื้อมีความรุนแรงขึ้น หรือ ที่เรียกกันว่า “Gain of functions research[2]” ซึ่งดร.เฟาชี่ ตอบปฏิเสธว่า ตนไม่เคยให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยประเภทดังกล่าว แต่ก็บอกว่า ถึงแม้จะมีการให้ทุน ก็มีการกำหนดให้ทำวิจัยอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ (ถ้าไม่ให้ทุนทำไมต้องมีกรอบ?) นอกจากนี้ รอน พอล ยังถามว่ามีการให้ทุนกับ ดร.ปีเตอร์ แดสแซก[3] (Dr.Perter Daszak) ผู้อำนวยการของ Eco health alliance ไหม ซึ่งเฟาชี่ ยอมรับ และรู้ว่า Eco health alliance ได้ส่งผ่านทุนนี้ต่อไปยังศูนย์วิจัยไวรัสที่อู่ฮั่น ซึ่งมี Bat lady, สุภาพสตรีค้างคาว หรือ ดร.ชี เชงลี่[4] (Dr.Shi Zhengli) เป็นนักวิจัยหลักในศูนย์ฯ ดร.ชี่ ผู้นี้ได้ไปเรียนเรื่องการดัดแปลงพันธุกรรมไวรัส หรือ gain of functions research ที่อเมริกา กับ ดร.ราลฟ แบริก[5] (Dr.Ralph Baric) แล้วจึงกลับมาทำงานที่ศูนย์วิจัยในอู่ฮั่น การที่วุฒิสมาชิกรอน พอล ได้ทำการไต่สวนซักถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น ทำให้มีความพยายามที่จะโยงเรื่องนี้เข้ากับเรื่องการเมือง ว่าที่จริงแล้ว วุฒิสมาชิก รอน พอล อยากจะโจมตีประธานาธิบดีไบเดน จนกระทั่งมีการเปิดเผยอีเมล์ของ ดร.เฟาชี่ เอง และทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า เฟาชี่ตั้งใจโกหก และมีวัตถุประสงค์แอบแฝง และพยายามปกปิดการกระทำของตนเอง ก่อนที่จะเล่าต่อว่า เขาทำ อะไรบ้าง ขอทบทวน ตัวละครที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ก่อนดังนี้
1. ตัวเอกของเรื่อง ดร.แอนโทนี่ เฟาชี่ (Dr.Anthony Fauci) ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ เขานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้มาอย่างยาวนานมาก และสร้างชื่อมาจากเรื่องเอดส์ อย่างไรก็ดีมีนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล ดร.แครี มูลลิส (Dr.Kary Mullis) ที่ออกมาบอกว่า เฟาชี่ ไม่มีความรู้ทางการแพทย์เลย[6]
2. ดร.ราลฟ แบริก (Dr.Ralph Baric) เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำวิจัยดัดแปลงพันธุกรรมไวรัสเพื่อทำให้เชื้อมีความรุนแรงมากขึ้น เขาทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยนอร์ทคาโรไลนา เขาเป็นอาจารย์ของดร.ชี่ เชงลี่ โดยสองคนนี้มีผลงานวิจัยร่วมกันในการดัดแปลงพันธุกรรมไวรัส
3. ดร.ปีเตอร์ แดสแซก (Dr.Peter Daszak) เป็นผู้อำนวยการของ Eco Health Alliance ซึ่งเป็นองค์กรที่รณรงค์เรื่องการอนุรักษ์ป่า โดยการบอกว่า ถ้ามนุษย์เข้าไปรุกล้ำป่ามากไปจะทำให้เชื้อดรคที่อยู่ในสัตว์ป่ากระโจนเข้ามาติดมนุษย์ทำให้เกิดโรคระบาดได้ แต่งานวิจัยที่องค์กรนี้สนับสนุน คือ การเข้าไปเก็บตัวอย่างเชื้อไวรัส/เชื้อโรคในสัตว์ป่าเพื่อนำมาศึกษาในห้องทดลอง โดยองค์กรนี้ได้รับการสนับสนุนทุนมาจากมูลนิธิบิลแอนด์เมลนดาเกตส์ และยังเป็นองค์กรที่ให้ทุนวิจัยกับดร.ชี่ ที่ห้องปฏิบัติการอู่ฮั่นด้วย
4. ดร.ชี เชงลี่[7] (Dr.Shi Zhengli) ลูกศิษย์ของดร.ราลฟ แบริก ผู้ที่มีผลงานร่วมกับตัวเธอเองในการวิจัยตัดแต่งพันธุกรรมไวรัสให้มีความรุนแรงขึ้น[8] หลังจากจบจากการศึกษาในอเมริกากับ ดร.แบริก ดร.ชี่ กลับไปทำงานวิจัยเกี่ยวกับโคโรนาไวรัส ที่ห้องปฏิบัติการอู่ฮั่น
5. ดร.คริสเตียน แอนเดอร์เซน[9] เป็นนักวิจัยด้านวิวัฒนาการไวรัสที่ตีพิมพ์รายงานที่อ้างว่า ไวรัสโควิดไม่มีทางเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ โดยน่าจะเกิดจากกระบวนการวิวัฒนาการตามธรรมชาติเท่านั้น[10] ที่น่าสนใจคือเขาตีพิมพิ์รายงานนี้หลังจากที่อีเมล์หา เฟาชี่ไม่กี่วันในอีเมล์นั้นเขาบอกว่า มีบางส่วนของพันธุกรรมของไวรัสโควิดที่ดู “ไม่เป็นธรรมชาติ”
เอาละครับหลังจากแนะนำตัวละครว่ามีใครกันบ้างแล้ว คงต้องขอย้อนเล่าไปถึงเรื่องงานวิจัย gain of function research หรืองานวิจัยที่ทำให้เชื้อโรค (ไวรัส) มีความรุนแรงมากขึ้น ติดต่อกันง่ายขึ้น งานวิจัยทำนองนี้มีการแอบทำกันเงียบๆมานานแล้ว โดยหนึ่งในทีมวิจัยที่ทำการทดลองทำนองนี้คือ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอร์ทคาโรไลนา ที่มีหัวหน้าทีมชื่อ ดร.ราลฟ แบริก และมีนักเรียนปริญญาเอกคนสำคัญที่ทำการวิจัยนี้ชื่อ ดร.ชี่ เชงลี่ จนกระทั่งในปี ค.ศ.2014 มีเสียงคัดค้านจากนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากว่า การทำวิจัยเพื่อสร้างเชื้อโรคที่อันตรายขึ้นนี้ ผิดจริยธรรม มีอันตรายต่อมนุษยชาติ เพราะเชื้อที่สร้างขึ้นในห้องทดลองนี้อาจจะหลุดรอดออกมาและทำให้เกิดการระบาดของโรคร้ายแรงได้ ด้วยแรงกดดันมหาศาลจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกนี้ ประธานาธิบดีโอบามา จึงต้องประกาศห้ามให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยคนสำคัญที่ออกมาคัดค้านคำสั่งดังกล่าวคือ ดร.เฟาชี่ และแล้วในปีคศ.2017 ดร.เฟาชี่ก็หาช่องทางในการให้การสนับสนุนงานวิจัยได้ โดยการให้ทุนวิจัยนี้ผ่านไปทาง Eco Health Alliance ซึ่งมี ดร.ปีเตอร์ แดสแซก เป็นผู้อำนวยการ Eco Health Alliance ได้ให้ทุนต่อไปยัง ห้องปฏิบัติการอู่ฮั่น ที่ดร.ชี่ กลับไปประจำการหลังจากเรียนจบปริญญาเอกจากอเมริกา
เอาครับตัดภาคมาถึงตอนต้นปี คศ.2020 หลังมีการแพร่ระบาดของโควิดไม่นาน ถ้าจำได้ช่วงแรกๆของการระบาดมีงานวิจัยที่เป็นข่าวเล็กๆอันนึงของนักวิจัยจากอินเดีย งานวิจัยนี้บอกว่า เขาพบลักษณะทางพันธุกรรมที่ไม่น่าเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดร.เฟาชี่ อีเมล์หาทีมงานเรื่องนี้ทันที ต่อมาในวันที่ 31 มกราคม 2563 ดร.แอนเดอร์เซน อีเมล์หา ดร.เฟาชี่ บอกว่ามีส่วนเล็กๆของพันธุกรรมไวรัสประมาณไม่ถึง 1% ที่ดูเหมือนว่ามีการตัดต่อพันธุกรรม เขาบอกด้วยว่า ต้องดูอย่างละเอียดดีๆ (ซึ่งคือสิ่งที่ นักวิจัยจากอินเดียทำและพบความผิดปกติ) ภายหลังจากนั้นไม่นาน ในวันรุ่งขึ้น ดร.เฟาชี่ก็อีเมล์งานวิจัย gain of function ของดร.ราลฟ แบริก กับ ดร.ชี่ ให้กับทีมงานและขอให้ลูกน้องรีบจัดการประสานให้มีการประชุมออนไลน์โดยด้วนในวันรุ่งขึ้น
ผู้ที่ร่วมประชุมออนไลน์ด้วยมีทั้ง ดร.เฟาชี่ นายเจโรมี ฟาร์ราร์ ซึ่งทำงานกับเวลคัมทรัสต์ กองทุนของบริษัทยายักษ์ใหญ่ ดร.ดรอสเตน (Dr.Christian Drosten ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทสต์ PCR สำหรับตรวจหาเชื้อไวรัสโควิดซึ่งขณะนี้กำลังถูกฟ้องว่ามีผลบวกปลอมเยอะก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่จำเป็น[11]) ดร.แอนเดอร์เซน ผู้ที่บอกว่ามีความผิดปกติทางพันธุกรรมบางอย่างที่อธิบายด้วยเรื่องตามธรรมชาติไม่ได้
หลังจากนั้นไม่นานในวันที่ 17 มีนาคม 2563 ดร.แอนเดอร์เซน ก็ตีพิมพิ์บทความลงในวารสารเนเจอร์[12] บอกว่า ไวรัสโควิดไม่น่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์ โดยให้เหตุผลว่า จากการคำนวณสามารถทำให้สไปก์โปรตีนของไวรัสจับกับตัวรับบนเซลล์ของมนุษย์ได้ดีกว่า สไปก์โปรตีนของเชื้อโควิด เลยเป็นไปไม่ได้ว่าจะเป็นเกิดจากฝีมือมนุษย์ เขาเชื่อว่า ถ้ามนุษย์ทำต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่ ไม่ได้บอกว่า ความสามารถในการจับกับตัวรับของสไปก์โปรตีนของเชื้อโควิดดีมากกว่า เชื้อโคโรนาไวรัสอื่นๆมาก ที่สำคัญเขาหลีกเลี่ยงที่จะพูดถีงลักษณะพันธุกรรมที่ผิดปกติที่พบในไวรัสโควิด ดร.เฟาชี่ใช้บทความของ ดร.แอนเดอร์เซน นี้ในการอ้างว่าเชื้อโควิดไม่น่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์
ในช่วงเวลาที่ไม่ห่างจากนั้นไม่นาน คือ ในวันที่ 7 มีนาคม 2563 มีการเขียนจดหมายเปิดผนึก[13]เพื่อให้กำลังใจแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ของจีน ในการต่อสู้กับการระบาดของโรคโควิด ในจดหมายนั้น มีความพยายามที่จะประณามการที่จะสืบค้นว่า เชื้อโควิดที่ระบาดนี้เป็นฝีมือมนุษย์ หลุดรอดออกมาจากห้องปฏิบัติการในอู่ฮั่นหรือไม่ ทั้งนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับเลย โดยผู้ที่ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว หลายคนร่วมประชุมออนไลน์เรื่อง gain of function research กับ ดร.เฟาชี่ นอกจากนี้บางคนมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงเกี่ยวกับการวิจัย gain of function research คนเหล่านี้ได้แก่ ดร.ดรอสเตน ดร.แดสแซก และนายเจเรมี ฟาร์ราร์
นอกจากความพยายามปิดบังเรื่อง gain of function research โดยการใช้ให้คนของตนเขียนเอกสารทางวิชาการแล้ว ในการส่งทีมเข้าไปค้นหาต้นตอของการระบาด ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในทีมสืบสวน ยังมีชื่อของ ดร.แดสแซก อยู่ด้วย[14] ซึ่งเป็นผลให้ในรายงานฉบับสมบูรณ์มีการพูดถึงการที่ไวรัสจะมาจากการกระทำของมนุษย์น้อยมาก
กล่าวโดยสรุป ดร.เฟาชี่ สนับสนุนการทำวิจัย gain of function research ทั้งที่เป็นงานวิจัยที่ผิดจริยธรรม แม้มีการห้ามไม่ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยทำนองนี้แล้ว ก็ยังแอบให้ทุนทางอ้อมกับนักวิจัยในจีนให้ทำงานวิจัยนี้ ต่อ เมื่อมีการถูกถามเรื่องนี้ในสภา ดร.เฟาชี่ก็ปฏิเสธ แต่ภายหลังเมื่อมีการนำอีเมล์ของเขามาเปิดเผย ก็พบว่า เขารู้ดีว่ามีการทำวิจัยนี้ และ มีการให้ทุนสนับสนุน โยเขาเองเป็นผู้ให้ทุน นอกจากนั้นยังพบว่า พยายามให้มีการสร้างเอกสารทางวิชาการเพื่อใช้เป็นข้ออ้างว่า นักวิชาการบอกว่า เชื้อนี้มาจากธรรมชาติ
การพยายามปกปิดความผิดของตนเองนี้ ตามหลักอาชญวิทยา ย่อมเป็นการชี้ให้เห็นว่า เขามีส่วนรับรู้ในการกระทำความผิด ประกอบกับมีหลักฐานที่เขาพยายามให้มีการฉีดวัคซีนในสภาวะที่ไม่จำเป็น เช่น ในผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อและมีภูมิอยู่แล้ว แสดงว่านอกจากดร.เฟาชี่จะมีส่วนรู้เห็นในการสร้างเชื้อไวรัสโควิดแล้ว อาจจะมีส่วนในการรับผลประโยชน์จากการขายวัคซีนด้วย จึงจำเป็นต้องมีการทบทวน คำแนะนำต่างๆที่มาจาก ดร.เฟาชี่ และ NIAID ว่าทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ อยู่บนหลักฐานทางวิชาการที่มีข้อมูลสนับสนุนหรือไม่ การสอบสวนนี้ควรเป็นความร่วมมือในระดับนานาชาติ ที่ควรมีการเปิดเผยข้อมูลการสอบสวนอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม
[1] ดร.แอนโทนี เฟาชี่ ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (National Institute of Allergy and Infectious Diseases, NIAID และ หัวหน้าทีมที่ปรึกษาประธานาธิบดีเรื่องการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิดในอเมริกา
[2] Gain of functions research คือ งานวิจัยที่มีการตัดแต่งพันธุกรรมของเชื้อไวรัสให้มีความสามารถในการแพร่เชื้อได้ดีขึ้น หรือ ทำให้เกิดโรคได้รุนแรงขึ้น งานวิจัยทำนองนี้ วงการวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นงานวิจัยที่ผิดหลักจริยธรรม เนื่องจากสามารถนำมาใช้ในการสร้างอาวุธชีวภาพได้ และหากมีการหลุดรอดของเชื้อออกมาภายนอกห้องปฏิบัติการจะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคดังที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้
[3] https://en.m.wikipedia.org/wiki/Peter_Daszak
[4] https://en.m.wikipedia.org/wiki/Shi_Zhengli
[5] https://en.m.wikipedia.org/wiki/Ralph_S._Baric
[7] https://en.m.wikipedia.org/wiki/Shi_Zhengli
[8] https://www.nature.com/articles/nm.3985/
[9] https://www.scripps.edu/faculty/andersen/
[10] https://www.nature.com/articles/s41591-020-0820-9
[11] Christian Drosten & the Fraud Behind COVID 19 PCR Testing | Principia Scientific Intl. (principia-scientific.com)
[12] https://www.nature.com/articles/s41591-020-0820-9
[13] https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0140673620304189?via%3Dihub
[14] https://abcnews.go.com/Health/wireStory/team-visits-2nd-wuhan-hospital-virus-investigation-75575469
https://www.help.senate.gov/imo/media/doc/report_an_analysis_of_the_origins_of_covid-19_102722.pdf